Building Information Modeling (BIM) คือกระบวนการที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างและจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและสร้างสิ่งก่อสร้าง โดยใช้แบบจำลองข้อมูลสามมิติ (3D) เป็นหลัก แต่มีความสามารถในการรวมข้อมูลและข้อมูลสารสนเทศที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันในแบบจำลองเดียว ซึ่งทำให้ผู้ร่วมงานทุกคนในโครงการสามารถแบ่งปันข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยลดความผิดพลาดในกระบวนการออกแบบและก่อสร้าง
BIM ใช้แบบจำลองที่เกิดขึ้นในกระบวนการการก่อสร้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น โครงสร้างหลัก, ฐานราก, ระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ, ระบบประปา, ภูมิสถานที่, วัสดุ, ราคา, และระยะเวลา ทำให้ผู้ใช้ BIM สามารถดูและปรับแก้แบบจำลองเพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงและปัญหาต่างๆ ในโครงการได้โดยอัตโนมัติ และทำให้มีการปรับปรุงแบบจำลองและกระบวนการได้อย่างรวดเร็ว
Building Information Modeling (BIM) มีที่มาอย่างไร
Building Information Modeling (BIM) มีที่มาจากการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการการสร้างสิ่งก่อสร้างและการจัดการโครงการในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้างตลอดเวลา นี่คือบางข้อสำคัญในประวัติศาสตร์และการพัฒนาของ BIM
1.การใช้คอมพิวเตอร์ในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง การใช้คอมพิวเตอร์ในการออกแบบและก่อสร้างสิ่งก่อสร้างเริ่มเกิดขึ้นในต้นปี 1960s และ 1970s โดยการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการสร้างแบบจำลองข้อมูล 3 มิติแรกๆ ที่เริ่มใช้ในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถูกเรียก BIM อย่างเป็นทางการ
2.การพัฒนาของซอฟต์แวร์ BIM ในปี 1980s และ 1990s ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ BIM แรกๆ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการแบบจำลองข้อมูลสามมิติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้รับความนิยมและการใช้งานมากขึ้นในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง
3.การเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาและการควบคุมโครงการ BIM กลับมาโด่งดังในสมัยที่มีความต้องการในการควบคุมความซับซ้อนของโครงการและการลดความขัดแย้งระหว่างการออกแบบและการก่อสร้าง เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ร่วมงานทุกคนในโครงการสามารถมีข้อมูลและแบบจำลองที่ใช้ในการตัดสินใจที่ถูกต้อง
4.การรับรู้และมาตรฐาน การรับรู้และการยอมรับ BIM เป็นสิ่งสำคัญในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง องค์กรระดับรัฐบาลและอุตสาหกรรมได้สร้างมาตรฐานและกฎหมายที่สนับสนุนการใช้ BIM ในโครงการสาธารณะและโครงการส่วนบุคคล
5.การพัฒนาเทคโนโลยีและความสามารถในการเชื่อมต่อ BIM ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลและความสามารถในการเชื่อมต่อระบบข้อมูลระหว่างแต่ละส่วนของโครงการ ที่ทำให้ข้อมูลและแบบจำลองสามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
สรุป BIM ได้รับการพัฒนาจากการใช้เทคโนโลยีและการปรับปรุงกระบวนการในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้างตลอดเวลา และมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความประทับใจในการสร้างสิ่งก่อสร้างในปัจจุบันและอนาคต
Building Information Modeling (BIM) มีความสำคัญอย่างไร
1.การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ BIM ช่วยลดเวลาและความล่าช้าในการออกแบบและก่อสร้างสิ่งก่อสร้าง โดยช่วยให้ทราบถึงข้อผิดพลาดและข้อขัดแย้งในขั้นตอนเริ่มต้นของโครงการ นอกจากนี้ยังช่วยลดการถอดรหัสและการระบุในกระบวนการออกแบบและก่อสร้างที่เกิดขึ้นในอนาคต
2.การเพิ่มความชัดเจนและความเข้าใจ การใช้ BIM ช่วยในการสร้างแบบจำลองที่ชัดเจนและเต็มรูปแบบของโครงการ ที่ทำให้ทุกคนในทีมโครงการเข้าใจและสามารถร่วมกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยในการสื่อสารข้อมูลและข้อมูลรายละเอียดในรูปแบบที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
3.การปรับปรุงคุณภาพ BIM ช่วยให้มีความเชื่อมโยงระหว่างการออกแบบและการก่อสร้างที่แม่นยำมากขึ้น ทำให้มีความน่าเชื่อถือในคุณภาพของงานก่อสร้างและลดการเสียหายหรือการแก้ไขในภายหลัง
4.การประหยัดทรัพยากร BIM ช่วยในการจัดการข้อมูลและทรัพยากรที่ใช้ในโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในการวางแผนการใช้วัสดุและทรัพยากรมนุษย์ในโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
5.การปรับปรุงการบริหารโครงการ BIM ช่วยให้ผู้บริหารโครงการสามารถติดตามและควบคุมความคืบหน้าของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการมองข้อมูลและแบบจำลองในเวลาเดียวกัน
6.การยกระดับความรับรู้ของข้อมูล BIM ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างและการดำเนินงานของโครงการมีความระเบียบและถูกจัดเก็บในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย นอกจากนี้ยังช่วยในการจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการบำรุงรักษาและการดูแลรักษาหลังจากการก่อสร้างเสร็จสิ้น
ดังนั้น BIM เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการการสร้างสิ่งก่อสร้างและการบริหารโครงการให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้นในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง
ผลกระทบเชิงลบของBuilding Information Modeling (BIM)
1.ความซับซ้อนและความยากลำบากในการใช้งาน การใช้ BIM อาจต้องการความชำนาญในการใช้ซอฟต์แวร์ BIM และการฝึกอบรมในกระบวนการและทักษะที่เกี่ยวข้อง สำหรับบุคคลที่ไม่คำนึงถึงการพัฒนาทักษะเหล่านี้ การเรียนรู้ BIM อาจเป็นเรื่องยากและช้าไป
2.ค่าใช้จ่ายในการใช้ BIM การดำเนินงาน BIM อาจต้องการการลงทุนในซอฟต์แวร์ การฝึกอบรม และการเข้ากันได้ระหว่างระบบที่มีค่าใช้จ่าย สำหรับธุรกิจหรือโครงการที่มีขนาดเล็กหรือที่ไม่สามารถทนต่อค่าใช้จ่ายนี้ อาจเป็นการซ่อมแรงหรือเริ่มใช้ BIM อาจเป็นที่ยาก
3.ความขัดแย้งระหว่างแต่ละฝ่าย การใช้ BIM อาจเปิดโอกาสให้มีความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมงานหรือฝ่ายต่างๆ ในโครงการ เนื่องจากข้อมูลและแบบจำลองที่ใช้สามารถเห็นได้โดยทุกคน การแก้ไขข้อขัดแย้งและการจัดการความขัดแย้งในกรณีที่เกิดขึ้นอาจเป็นภาระ
4.การเข้ารหัสข้อมูลและความเป็นส่วนตัว การใช้ BIM อาจส่งผลให้การเข้ารหัสข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเป็นปัญหา โดยเฉพาะในกรณีที่มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างฝ่ายหรือองค์กรต่างๆ ซึ่งอาจต้องระวังการเข้ารหัสข้อมูลที่มีความละเอียดสูงหรือข้อมูลที่มีความสำคัญ
5.ความน้อยไปหากไม่มีการใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ หากไม่มีการใช้ BIM ให้เต็มประสิทธิภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีนี้อาจไม่มีค่าใช้จ่ายและเวลาที่ดีที่สุด การไม่มีการประยุกต์ใช้ BIM ให้เต็มประสิทธิภาพอาจทำให้ไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงกระบวนการการทำงานในระยะยาวได้
6.ความขาดเสียหายของงาน การใช้ BIM อาจช่วยให้สามารถตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของงานก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่มีงานซ่อมแซมหรือเสียหายของงานเพิ่มขึ้น